พระอริยสงฆ์เล่าถึงพญานาค - พระอริยสงฆ์เล่าถึงพญานาค นิยาย พระอริยสงฆ์เล่าถึงพญานาค : Dek-D.com - Writer

    พระอริยสงฆ์เล่าถึงพญานาค

    พญานาคหลายคนอาจจะสงสัยว่ามีจริงหรือไม่ ได้ยินคำบอกเล่าจากที่ต่างๆ แต่ก็มีหลายคนเชื่อ และหลายคนก็ไม่เชื่อ แต่ถ้าเป็นคำของพระอริสงฆ์คงจะมีน้ำหนักมากขึ้น

    ผู้เข้าชมรวม

    880

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    10

    ผู้เข้าชมรวม


    880

    ความคิดเห็น


    3

    คนติดตาม


    9
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  16 พ.ค. 65 / 12:08 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    หลวงปู่ขาว พูดถึงพญานาค

                 ในเรื่องของโลกวิญญาณ  หรือเรื่องเกี่ยวกับเหล่ากายทิพย์  เช่น ภูติผี  เทวดา อินทร์ พรหม  พญานาคนี้   เป็นเรื่องลี้ลับ  ที่ยากจะพิสูจน์ได้   แต่ก็ได้มีเรื่องเล่า  จากหลวงปู่หลายองค์  ที่ท่านได้เล่าถึงเรื่องเหล่านี้  ให้กับลูกศิษย์ลูกหา  และชาวบ้านได้ฟัง    เพื่อเป็นข้อคิด  เป็นคติสอนใจ  เพื่อให้ได้รู้ว่า  การทำดีนั้นได้ดี  ทำชั่วได้ชั่ว สวรรค์มีจริง นรกมีจริง  ภพภูมิต่างๆ มีจริง   ทำดีก็ไปสู่สุขคิภูมิ คือไปสวรรค์  ไปพรหมโลก ไปนิพพาน   แต่ถ้าทำชั่ว ก็ไปอบายภูมิ   คือไปเกิดเป็นสัตว์เดรัชฉาน  เป็นเปรต  อสุรกาย  และไปรับกรรมในนรกภูมิ      

                  พญานาค  เชื่อกันว่า เป็นสัตว์กึ่งเทพ    มีลำตัวคล้ายงู   มีหงอนสีแดง  ลำตัวมีสีที่แตกต่างกันไป  เช่นสีเขียว สีแดง สีขาว เป็นต้น   บ้างก็มีเศียรเดียว บ้างก็มีหลายเศียร  ขึ้นอยู่กับบุญวาสนา  หรือระดับชั้น เช่นชั้นปกครอง   จะมีบุญวาสนามาก  ก็จะหมีหลายเศียร               และพญานาคนี้  เชื่อกันว่ามีอิทธิฤทธิ์  สามารถจำแลงกายเป็นคน    หรือสัตว์ต่างๆได้     พญานาคนั้น มีความเกี่ยวพันกับพุทธศาสนา   มาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล  และพญานาคส่วนใหญ่  ก็จะนับถือพุทธศาสนา   แต่ก็มีบางส่วนที่เป็นพญานาคมิจฉาทิฏฐิ  ไม่ยอมรับนับถือพุทธศาสนาก็มี 

                และได้มีเรื่องเล่าต่างๆ  หลายต่อหลายเรื่อง เกี่ยวกับพญานาค  มีหลวงปู่หลายองค์  ได้มีประสบการณ์  เกี่ยวกับพญานาค    และหนึ่งในนั้น  ก็มีหลวงปู่ขาว อนาลโย   ท่านก็มีประสบการณ์   เกี่ยวกับพญานาคนาคด้วย   

                   หลวงปู่ขาว  อนาลโล แห่งวัดถ้ำกลองเพล  อ.เมือง   จ. หนองบัวลำภู     ท่านเป็นพระอริยสงฆ์อีกองค์หนึ่ง  ของเมืองไทย  ที่มีพุทธศาสนิกชน เคารพนับถือท่านมากมาย      ท่านก็พระป่า พระธุดงค์กรรมฐาน  เป็นลูกศิษย์รุ่นแรกๆ ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต    พระอาจารย์ใหญ่  สายวิปัสนากรรมฐาน      หลวงปู่ขาวท่านมีความเด็ดเดี่ยว  กล้าหาญ กล้าเผชิญกับภัยอันตรายต่าง    ในระหว่างการเดินจาริกธุดงค์  ไปในป่าเขาดงลึก   เพื่อไปปฏิบัติสมณะธรรม   ทำความเพียร      และท่านมักจะเที่ยวจาริกธุดงค์    ไปตามสถานที่ต่างๆหลายแห่ง     และครั้งหนึ่ง   ท่านได้จาริกธุดงค์  ขึ้นไปในทางภาคเหนือ   ไปทางเชียงใหม่ เชียงราย   เพื่อติดตามหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต     ในระหว่างที่ท่านปฏิบัติธรรมอยู่ในทางภาคเหนือนี้     ท่านได้ธุดงค์   ไปตามป่าเขาหลายแห่ง     พักตาม ตามโคนต้นไม้  เถื่อนถ้ำต่างๆ    และท่านก็ได้เทศนาอบรมสั่งสอน  ชาวบ้านป่าบ้านดง    ชาวเขาเผ่าต่างๆ  เช่น กะเหรี่ยง มูเซอร์     ให้เข้าถึงพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ด้วย    

           ในระหว่างนี้  ท่านได้ทำความเพียร   อย่างหนักหน่วง  เอาจริงเอาจัง  เป็นเวลานานหลายปี     จนท่านสามารถบรรลุธรรม  ขั้นสูงสุด   ได้รู้แจ้งเห็นจริง  ในอริยสัจธรรม  4 ประการ  ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้   ในที่สุด    สถานที่ที่หลวงปู่ขาว  ท่านบรรลุธรรมนั้น   คือ ที่บ้านโหล่งขอด  อ.พร้าว  จ.เชียงใหม่   และหลังจากนั้น ท่านจึงได้กลับมาทางภาคอีสาน    เพื่อไปเยี่ยมบ้านเกิดของท่าน   ที่บ้านบ่อชะเนง   ต.หนองแก้ว อ.อำนาจเจริญ    จ.อุบลราชธานี     หลังจากที่ท่านได้จากบ้านเกิดไปนาน ถึง 20 ปี    ในช่วงนั้น   อยู่ในช่วงประมาณปี 2491  ท่านมีอายุประมาณ 60 ปี   23 พรรษา ในฝ่ายธรรมยุติกนิยาย   

                   ในคราวนั้น   ท่านเล่าว่า เมื่อท่านไปถึงบ้านเกิดของท่าน  ญาติโยมชาวบ้าน  เมื่อทราบว่า ท่านกลับมาแล้ว        ต่างก็พากันดีอกดีใจ  ปานจะเหาะบิน *** ท่านว่าอย่างนั้น

                   ก่อนที่หลวงปู่ขาว  ท่านจะไปสร้างวัดถ้ำกลองเพลขึ้น   ที่  อ.หนองบัวลำภู  จ.อุดรธานีนั้น    ท่านได้เดินจาริกธุดงค์   ไปตามสถานที่ต่างๆหลายแห่ง   ในภาคอีสาน  เพื่อโปรยปรายกระแสธรรม   นำธรรมะของพระพุทธองค์  ไปเทศนา โปรดญาติโยม ชาวบ้าน  และลูกศิษย์ลูกหา   ผู้สนใจใฝ่ในธรรม   

                  ท่านได้เดินจาริกธุดงค์ไปตามป่าเขา  ไปทางสกลนคร  อุดรธานี  และเลียบเลาะไปตามริมฝั่งแม่น้ำโขง  ทาง  อ.โพนพิสัย  บึงกาฬ นครพนม       และบางครั้ง    ท่านก็ข้ามแม่น้ำโขงไปยังฝั่งประเทศลาวด้วย     สถานที่ที่ท่านไปพักภาวนานั้น  มีอยู่หลายแห่งด้วยกัน  เช่น  ถ้ำเป็ดภูเหล็ก  ดงหม้อทอง ภูสิงห์ ภูวัว ภูลังกา  เป็นต้น

                   และท่านก็ได้ประสบกับเหตุการณ์ต่างๆ หลายอย่าง  เช่น  เผชิญหน้ากับเสือที่ดงหม้อ   เผชิญหน้ากับช้าง  และได้ประสบพบเจอ กับเหล่ากายทิพย์ต่างๆ ด้วย  เช่น เทวดา พญานาค เป็นต้น

                   มีอยู่ครั้งหนึ่ง   หลวงปู่ขาว ท่านเดินจาริกธุดงค์  ไปตามเทือกเขาภูพาน  ในแถบ จ.สกลนคร  และได้พักจำพรรษาถ้ำเป็ด  บนภูเหล็ก  อ.ส่องดาว จ.สกลนคร   ท่านเล่าให้ลูกศิษยฟังว่า  ได้มีพ่อปู่ศรีสุทโธนาคราช  แห่งพรหมประกายโลก  หรือดงคำชะโนด   ที่ อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี   ได้เข้าไปกราบนมัสการท่านด้วย    เรื่องมีอยู่ว่า 

                   ในคืนวันหนึ่ง  ในตอนนั้น เป็นเวลาประมาณ 2 ทุ่ม    บรรยากาศในยามค่ำคืน   ในชนบทห่างไกล   ที่ไม่มีไฟฟ้า   มีเพียงโคมไฟจากขี้ใต้ หรือตะเกียงน้ำมันก๊าช เท่านั้น ไม่ได้สว่างไสว   เหมือนกับเช่นปัจจุบันนี้   เมื่อค่ำมืดลง  ชาวบ้านก็มักจะเข้านอนกันแล้ว    ก็ยิ่งทำให้บรรยากาศดูวิเวกวังเวง   เพิ่มมากขึ้นไปอีก      ท่ามกลางความเงียบสงัดนั้น    จู่ๆ  ก็มีเสียงคนเดินมา    เดินเสียงดัง   เหมือนกับใส่รองเท้า   เสียงดังกุบกับๆ        เสียงนั้น เดินมุ่งตรงไปทางกุฏิ  ที่พักของแม่ชีเฒ่า คนหนึ่ง   เมื่อแม่ชีเฒ่า   ได้ยินเสียงคนเดินมา   ก็ตกอกตกใจเป็นอย่างมาก        เพราะไม่คิดว่า    ค่ำมืดเช่นนี้     จะมีคนเดินมาแถวนี้ได้      และเสียงคนเดินนั้น  ก็ดังใกล้เข้ามา เรื่อยๆ      จนเสียงนั้นมาหยุดยืน  อยู่ที่กุฏิของแม่ชีเฒ่าคนนั้น      แม่ชีเฒ่าที่นั่งอยู่ภายในกุฏิ   ที่สร้างขึ้นแบบง่ายๆ  พอได้อยู่อาศัย  และเป็นที่พักภาวนา ปฏิบัติธรรม    ไม่ได้มั่นคงถาวระอะไร     แม่ชีจึงนึกหวั่นเกรงอยู่ว่า  เสียงคนที่เดินมานี้  จะมาดี หรือมาร้ายหนอ    เขามีวัตถุประสงค์อะไรกัน  จึงได้มาที่นี่   ในยามค่ำคืนเช่นนี้   จากนั้น 

    แม่ชีเฒ่า  จึงร้องถามไปว่า  *** นั่นใครหรือ  มาทำไมกัน  ดึกดื่นๆค่ำมืดแบบนี้    ฉันเป็นแม่ชีเฒ่า อย่าขึ้นมาเลย ***

    แม่ชีถามไป  เพราะกลัวว่า จะเป็นผู้ร้าย  ที่เข้ามาบริเวณนี้    และจะเกิดสิ่งไม่ดีไม่งามขึ้น

    เสียงของบุรุษนิรนามจึงพูดขึ้น  ว่า ***** ไม่ต้องกลัวหรอก  ฉันมาดี ฉันแค่แวะมาถามเฉยๆ  *** 

    แม่ชีจึงถามไปอีกว่า  *** ถามอะไรหรือ ***

    ชายคนนั้นจึงตอบว่า  *** ฉันจะไปถ้ำเป็ด  จะไปกราบหลวงปู่ขาว  หลวงปู่ขาว ท่านพักอยู่ที่นั่นใช่มั๊ย ***

    เมื่อแม่ชีได้ยินเช่นนั้น   จึงผ่อนคลายความตกใจลงไปบ้าง   และได้จุดโคมไฟขึ้น  และออกมาดูข้างนอกกุฏิ  จึงได้เห็นบุรุษคนหนึ่ง  ยืนอยู่    แต่งองค์ทรงเครื่อง  คล้ายกับเจ้านายสูงศักดิ์    ดูสง่าผ่าเผย งดงาม  เหมือนกับคนมีบุญวาสนา

    แม่ชีเฒ่า จึงถามไปว่า  **** เจ้าชื่ออะไร มาจากไหน**

    ชายผู้นั้นตอบว่า   **** ผมชื่อสุทโธนาคราช    มากจากดงชะโนด***

    แม่ชีเฒ่า จึงถามว่า  *** ดงชะโนดน่ะ   มันอยู่ไหนหรือ***

    ชายผู้นั้นตอบว่า  *** อยู่ที่อำเภอบ้านดุง จ.อุดรธานี**

    .... ดงชะโนด  หรือป่าคำชะโนด  หรือวังนาคินคำชะโนด   จะตั้งอยู่ที่ อ.บ้านดุง   จ. อุดรธานี   มีลักษณะเป็นเกาะกลางน้ำ   ซึ่งมีต้นชะโนดขึ้นอยู่เต็มไปหมด    มีพื้นที่ประมาณ 20 ไร่   ภายในเกาะคำชะโนดแห่งนี้    ยังมีบ่น้ำศักดิ์สิทธิ์   มีศาลพ่อปู่ศรีสุทโธ และแม่ย่าศรีปทุมมา  ตั้งอยู่ที่นั่น   และจะมีประชาชนหลั่งไปกราบไหว้  ขอพร ขอโชคขอลาภมิได้ขาด      และตามตำนาน     เล่ากันว่า  ป่าคำชะโนดแห่งนี้   เป็นเมืองของพญานาค        และ เป็นวังบาดาลของพ่อปู่ศรีสุทโธนาคราช   หรือนาคาธิบดีศรีสุทโธ     และมีแม่ย่าศรีปทุมมา  เป็นมเหสี  วันดีคืนดี  จะมีชาวบ้าน  ได้พบเห็นสิ่งลี้ลับต่างๆ  ที่ดงคำชะโนดแห่งนี้ด้วย   จนเล่าลือกัน ถึงความอาถรรพ์ต่างๆนานา   และมีเรื่องราว เกี่ยวกับชาวบ้าน ที่หลงเข้าไปยังเมืองบาดาล  ที่ดงคำชะโนด  เรื่องราวเกี่ยวผีจ้างหนัง   และเปรตคำชะโนด   อันโด่งดัง  ในอดีตอีกด้วย

                     และยังเล่ากันว่า  พ่อปู่ศรีสุทโธ หรือนาคาธิบดี ศรีสุทโธ  นี้  จะเป็นพญานาคในชั้นปกครอง  อยู่ในตระกูลเอราปถะ คือมีกายสีเขียว  มี 1 เศียร และพ่อปู่ศรีสุทโธ ยังสามารถเนรมิตกาย ให้มีหลายเศียรได้ด้วย เพราะด้วยฤทธานุภาพ  อันเกิดจากบุญบารมี   ที่ได้บำเพ็ญมานานหลายพันปี     พ่อปู่ศรีสุทโธนี้  ท่านจะมีจิตใจฝักใฝ่ในทางธรรม    ชอบปฏิบัติธรรม   และชอบฟังธรรม กับพระอริยสงฆ์ด้วย

                 เมื่อแม่ชีเฒ่า  กับชายที่อ้างว่า  เป็นพญาศรีสุทโธนาคราช   สนทนากันแล้วจบแล้ว   ก่อนที่ชายผู้นั้นจะจากไป   จึงได้ถามแม่ชีว่า  *** ท่านแม่ชีฝันดีไหม**

    แม่ชีตอบว่า  **** มาฝันดีอะไรกัน   ฉันมาปฏิบัติธรรมนะ   มาบำเพ็ญภาวนาต่างหากล่ะ***

    หลังจากนั้น  ชายผู้นั้น ก็ได้ลาแม่ชีเฒ่าไป   และขึ้นไปหาหลวงปู่ขาวที่  ถ้ำเป็ด บนภูเหล็ก   เพื่อไปกราบนมัสการท่าน  และขอฟังธรรมจากท่านด้วย

                 หลวงปู่ขาวท่านเล่าว่า     เมื่อพญาศรีสุทโธ   ได้เข้าไปกราบนมัสการท่านแล้ว   พญาศรีสุทโธ   ได้เล่าให้หลวงปู่ฟังว่า    เขามักจะไปฟังธรรม  กับพระอริยสงฆ์เสมอๆ    นอกจากจะได้มากราบนมัสการ   ท่านแล้ว    พญาศรีสุทโธ   ยังเคยได้เข้าไปกราบนมัสการ  พระอริยสงฆ์อีกหลายองค์   เช่น หลวงปู่เสา กันตสีโล หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต   เป็นต้น 

                และพญาศรีสุทโธ   ยังได้เล่าให้หลวงปู่ขาวฟังอีกว่า   เมื่อเข้าไปกราบนมัสการหลวงปู่เสาร์  และหลวงปู่มั่น    เมื่อได้ฟังธรรมจากท่านแล้ว     หลวงปู่เสาร์ท่านเทศน์อย่างนั้น  เทศอย่างนี้ หลวงปู่มั่น  ท่านเทศน์อย่างนั้น  เทศอย่างนี้ ให้ฟัง       เมื่อหลวงปู่ขาวท่านได้ฟังคำ ที่พญาศรีสุทโธ  เล่าให้ท่านฟังแล้ว   ท่านก็เห็นว่า  เป็นคำสอนที่ตรงกับที่ท่านเคยได้ยิน     จากพระอาจารย์ใหญ่ทั้งสองเสมอ      และหลวงปู่ขาวยังพูดว่า  ** ความจำของพญาศรีสุทโธนี้ดีมาก   สามารถจดจำคำที่หลวงปู่มั่น  และหลวงปู่เสาร์   เทศนาให้ฟังได้อย่างแม่นยำ  และจำได้อย่างละเอียดด้วย ***

                 นี่ก็แสดงถึงว่า   พระอริยสงฆ์ สามารถติดต่อกับเหล่ากายทิพย์ อย่างพวกเทวดา พญานาค ได้นั้น เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่เรื่องพิเศษพิสดารอะไร   สำหรับผู้ที่มีภูมิจิต ภูมิธรรมขั้นสูง  แต่สำหรับบุคคลธรรมดาอย่างเราๆ  ก็คงเห็นว่า  เป็นเรื่องพิสดาร  ที่ยากจะพิสูจน์ได้

                 พอออกพรรษาแล้ว  หลวงปู่ขาว  ท่านก็   ออกจากถ้ำเป็ด ภูเหล็ก    และเดินจาริกธุดงค์ไปตามสันเขาภูพาน    จนไปถึงอีกฟากฝั่งหนึ่ง   ที่เรียกกันว่า  หวายสะนอย  ซึ่งเป็นที่สงบสงัดดีมาก  บรรยากาศร่มรื่น  มีแมกไม้ที่สวยงาม  และมีน้ำซึมน้ำซับ  น้ำไหลลงมาจากเทือกเขาภูพาน   ให้ได้ใช้ตลอดทั้งปีด้วย    นับว่าเป็นที่ปฏิบัติธรรม   ได้เป็นอย่างดีเลยดีเดียว

                  หลวงปู่ขาว  ท่านได้จำพรรษาที่หวายสะนอย  โดยมีลูกศิษย์ลูกหา  มาพักจำพรรษาด้วย  เช่น พระอาจารย์จวน กุลเชษโฐ พระอาจารย์เพ็ง เตชะพโล เป็นต้น    และในคราวที่ท่านพักจำพรรษาที่หวายสะนอยนี้    หลวงปู่ขาว  ท่านเกิดเป็นไข้ป่า หรือไข้มาลาเลีย ขึ้นอย่างหนัก  ได้รับความทุกขเวทนาเป็นอย่างมาก    ในสมัยนั้น    หยูกยาจะรักษาก็ไม่มี      เพราะเป็นบ้านป่าบ้านดง    ต้องอาศัยยาพื้นบ้าน  รักษาไปตามเรื่อง     เมื่อใครที่เป็นไข้ป่าแล้ว  มักจะไม่หายขาด   เป็นๆหายๆ เรื้อรังอยู่หลายเดือน   บางคนก็เป็นกันอยู่หลายปีก็มี

                   ในครั้งนั้น   หลวงปู่ขาว ท่านใช้ธรรมโอสถในการรักษา     คือท่านจะนั่งสมาธิภาวนา  ตั้งแต่ตอน  9 โมงเช้า    พิจารณาทุกขเวทนาที่เกิดขึ้น    จนถึงบ่าย 3 โมง     อาการไข้นั้นจึงได้ทุเลาลง    และท่านก็ยังนั่งสมาธิภาวนาต่อไป   จนถึง 6 โมงเย็น    จนอาการไข้ของท่านนั้น   ได้หายไปดังปลิดทิ้ง    เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มาก   

                  หลังจากนั้น  หลวงปู่ขาว ท่านได้ไปพำนักที่  วัดภูถ้ำค้อ   ซึ่งเป็นภูเขาอีกลูกหนึ่ง  บนเทือกเขาภูพาน  อยู่เขตแดนระหว่างจังหวัดสกลนคร  กับจังหวัดกาฬสิน      ภูถ้ำค้อแห่งนี้  ในสมัยนั้น  มีต้นไม้ ป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์  มีต้นไม้ใหญ่ สูงชะรูด  แผ่กิ่งก้านสาขา ปกคลุมบริเวณกว้าง  หลายต้น   และบริเวณภูถ้ำค้อแห่งนี้  จะมีสัตว์ป่าชุกชุมมากด้วย   เช่น เสือ ช้าง กระทิง  วัวแดง  อีเก้ง หมูป่า นกนานาชนิด  พวกมัน พากันส่งเสียงร้องระเบ็งเซ็งแซ่  ไปทั่วทั้งบริเวณป่า  บ่งบอกถึงว่า  ป่าแห่งนี้  เป็นป่าดงดิบ ที่อุมสมบูรณ์มาก   

                 ที่ตั้งของวัดภูถ้ำค้อนั้น   จะอยู่ห่างจากหมู่บ้าน  ประมาณ 14-15 กม.  นับว่าไกลมากเลยทีเดียว   แต่ดีหน่อย  ที่มีชาวไร่  2-3 ครอบครัว  มาทำไร่แถวนั้น  อยู่ไม่ห่างจากวัดภูถ้ำค้อมากนัก   พอให้ท่านได้อาศัยอาหารบิณฑบาตร  กับชาวไร่ 2-3 ครอบครัวนี้      แต่อาหารที่ได้  ก็ได้พอฉัน   เพื่อดำรงสังขาร  ให้อยู่ต่อไปได้เท่านั้น               

           หลวงปู่ขาวท่านเล่าว่า  ท่านไปพักภาวนา  ที่วัดภูถ้ำค้อแห่งนี้   เป็นความผาสุข เย็นกาย เย็นใจเป็นอย่างยิ่ง  เพราะไม่มีภาระกิจใดๆให้ต้องกังวล    และภูถ้ำค้อก็เป็นที่สงบวิเวก   เหมาะในการปฏิบัติสมณะธรรมมากด้วย       ในตอนกลางคืน    สัตว์ป่าจะออกหากิน     ได้ยินเสียงพวกมันร้องกันระงม ไปทั่วทั้งป่า    และพวกสัตว์เหล่านั้น   ยังได้มาหากิน   ใกล้กับที่ท่านของพักด้วย          บางครั้ง ท่านก็เห็นตัวมัน   เพราะมันเข้ามาใกล้ท่านมาก   ไม่ว่าจะเป็นเก้ง กวาง  ไก่ป่า นกต่างๆ      ท่านว่า ท่านเองก็รู้สึกเพลิดเพลิน  เมื่อได้เห็นสัตว์เหล่านี้    และมีความเมตตาสงสารต่อสัตว์เหล่านี้ด้วย       เวลามันออกหากิน  พวกมันจะส่งเสียงร้องกันระเบ็งเซ็งแซ่   เหมือนกับว่า  เป็นเสียงดนตรี  บรรเลงขับกล่อม  อยู่ท่ามกลางขุนเขา  ในป่าใหญ่ ไร้ผู้คน    จึงจำเจิญตา จำเจิญใจ ไพเราะเสนาะหูเป็นอย่างมาก 

                      นอกจากภูถ้ำค้อแห่งนี้  จะเต็มไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิดแล้ว  ยังมีสิ่งลี้ลับ  ที่หลวงปู่ขาว ท่านได้ประสบพบเจออีกด้วย   

                      หลวงปู่ขาวท่านเล่าว่า   ในคืนวันหนึ่ง  ท่านนั่งสมาธิภาวนาอยู่  ได้เกิดภาพนิมิตขึ้น  มีงูจำนวนมากมายมหาศาล    จำนวนนับพันๆตัว   ทั้งตัวใหญ่ตัวเล็ก  ต่างพากันเลื้อย   ออกมาจากภายในถ้ำ   เป็นขบวนที่ยาวเหยียด     เหมือนกับว่า จะอพยพไปที่ไหนสักแห่งหนึ่ง  

                      หลวงปู่ขาวท่านถึงขาวไปว่า  **** จะพากันไปไหนมากมายเช่นนี้หรือ***

                         มีหัวหน้างูตัวใหญ่  ตัวหนึ่ง ตอบขึ้นว่า  *** พระคุณเจ้า  พวกข้าพเจ้าทั้งหลาย  เป็นภูมินาค ขอรับ***

                      หลวงปู่จึงถามขึ้นอีกว่า  *** จะพากันไปไหนหรือ  ทำไมไม่อยู่ที่เดิมล่ะ***

                       นาคตนที่เป็นหัวหน้าตอบท่านว่า   *** พวกข้าพเจ้า จะไปอยู่ที่ห้วยอีตุ้ม ข้างล่างโน้น ขอรับ  เพราะตั้งแต่พระคุณเจ้ามาอยู่ที่ถ้ำนี้    พวกข้าพเจ้าอยู่ยากกินยากเหลือเกิน   ขอรับ***

                       หลวงปู่จึงถามว่า  *** เพราะอะไรหรือ  ***

                       หัวหน้างูตอบว่า   **** เพราะว่า  ที่ที่พวกข้าพเจ้าอยู่นั้น   อยู่สูงกว่าพระคุณเจ้า  ผู้มีศีลบริสุทธิ์ขอรับ   ตั้งแต่พระคุณเจ้ามาอยู่ที่นี่   ก็ทำให้พวกข้าพเจ้า ร้อนไปทั่วร่างกาย   เหมือนถูกไฟลน  จึงจะพากันลงไปอยู่ที่ต่ำกว่าพระคุณเจ้า   จึงจะไม่บาปขอรับ ***

                       หลวงปู่ขาว ท่านสังเกตุเห็นว่า  ในขบวนงูเหล่านั้น   จะมีงูตัวหนึ่ง   ถูกมัดปากไว้ และในปากก็ได้คาบก้อนหินก้อนหนึ่งไว้ด้วย     หลวงปู่จึงแปลกใจว่า   ทำไมนาคตนนี้ จึงได้ถูกมัดไว้เช่นนี้    เขามีโทษอะไรกัน  ท่านจึงถามไปว่า                **** นาคตนนี้เขาเป็นอะไรหรือ  ทำไมจึงได้มัดเขาไว้ด้วย***

                       หัวหน้านาคจึงได้ตอบท่านว่า   *** นาคตนนี้มันดื้อมากขอรับ   เกรงว่าจะทำอันตรายแก่พระคณเจ้า  จึงได้มัดไว้ขอรับ****

                         เมื่อสนทนาจบแล้ว  พวกนาคเหล่านั้น   ก็ลาท่านไป  หลวงปู่ขาว เมื่อท่านออกจากสมาธิแล้ว  ท่านจึงยกเรื่องของพญานาค มาพิจารณา  โดยละเอียด   ท่านบอกกับเหล่าบรรดาศิษย์ในภายหลังว่า  ในเรื่องของพญานาคนี้   ไม่ได้มีเขียนไว้ในตำราเล่มใด     ถ้าหากว่า ปฏิบัติสมาธิไม่ถึงขั้นแล้ว   จะไม่สามารถรู้เห็นได้เลย   คือเป็นเรื่องที่รู้เห็นได้เฉพาะตน   เฉพาะผู้ที่ปฏิบัติเท่านั้น   

                        หลวงปู่ขาวท่านเล่าว่า   ท่านจำพรรษาที่ภูถ้ำค้อแห่งนี้   ท่านได้รู้เห็นสิ่งต่างๆหลายอย่าง  ทั้งเรื่องในโลกมนุษย์   และในเรื่องของโลกทิพย์  หรือโลกของวิญญาณด้วย    การพิจารณาค้นคว้าธรรม   ก็ไม่ติดขัด   การปฏิบัติสมณะธรรมก็ราบรื่น    เพราะเป็นที่สัปปายะ   เหมาะในการเจริญภาวนาดีมาก

                       และที่ภูถ้ำค้อแห่งนี้  หลวงปู่ขาว ท่านยังได้ไปยังเมืองบาดาล  หรือเมืองของเหล่าพญานาคด้วย   ซึ่งเป็นภพภูมิที่เป็นทิพย์   บุคคลธรรมดาทั่วไป  จะไม่สามารถรู้เห็น  หรือสัมผัสได้   นอกจากผู้ที่มีฌาณสมาบัติระดับหนึ่งแล้ว   จึงจะสามารถรู้เห็นได้     แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะพิสูจน์  และอธิบาย   ให้ใครเชื่อได้ง่ายๆ 

                        หลวงปู่ขาวท่านเล่าว่า  ในคืนหนึ่ง ท่านนั่งสมาธิภาวนาอยู่  ปรากฏว่า  ตัวท่าน  ได้ลงไปยังเมืองบาดาล   ท่านจึงถามขึ้นว่า  *** นี่เมืองอะไรหรือ ***

                   มีเสียงหนึ่งตอบท่านว่า ****เมืองบาดาล นาคพิภพขอรับ***

             ขณะนั้น  หลวงปู่ขาว  ท่านยืนอยู่บนก้อนหินก้อนหนึ่ง   ซึ่งอยู่กลางน้ำ   ท่านว่า แม่น้ำในเมืองบาดาลนั้น ไม่เหมือนกับเมืองมนุษย์    ซึ่งจะไหลไปในทิศทางเดียวกัน  คือไหลจากที่สูง  ลงสู่ที่ต่ำ   แต่แม่น้ำในเมืองบาดาลนั้น   จะไหลสลับกัน  คือ แม่น้ำสายหนึ่งไหลไปทางทิศเหนือ  ส่วนอีกสายหนึ่ง  จะไหลไปทางทิศใต้    สายหนึ่งไหลไปทางทิศตะวันออก  ส่วนอีกสายหนึ่ง  จะไหลไปทางทิศตะวันตก  บางแห่งไหลเวียนขวา บางแห่ง  ไหลเวียนซ้าย    ท่านว่า   เห็นแล้ว ก็เป็นที่น่าแปลกประหลาดมาก   

                     เมื่อหลวงปู่ขาว  ท่านมองออกไป  ท่านก็ได้เห็นหินก้อนหนึ่ง  ซึ่งมีลักษณะความสวยงามมาก  ตั้งอยู่กลางนาคภิภพ    มีสาวงามนางหนึ่ง   ยืนนิ่งอยู่บนหินก้อนนั้น   หน้าตาของนาง ยิ้มแย้มแจ่มใส   นางมีหน้าตาที่สวยงามมาก   ราวกับเทพธิดา  แต่งตัวเหมือนเทพธิดา  บนสรวงสวรรค์  สวยงามราวกับภาพเนรมิตรก็มิปาน

                    สาวน้อยนางนั้น   หันหน้ามาทางหลวงปู่   นางทำท่าพนมมือ  แสดงความคารวะ อย่างนอบน้อม อ่อนโยน     แล้วนางก็ทำการร่ายรำ  ด้วยท่วงท่าที่อ่อนช้อย  สวยงาม   เหมือนกับเป็นการรำถวายท่าน   พร้อมๆกับร้องเพลง     ด้วยเสียงใสกังวาล  ไพเราะมาก  ซึ่งเนื้อเพลงนั้น  ร้องเป็นภาษาบาลี ว่า  *** อะหัง นะเม นะเม นะวะชาตินะวะ ***    ซึ่งหลวงปู่ขาว   ท่านจำเนื้อเพลงนี้ได้เป็นอย่างดี 

                     ในภายหลัง มีลูกศิษย์ ถามหลวงปู่ว่า เนื้อเพลงของลูกสาวพญานาคนั้น   มีความหมายว่ายังไงครับ *** หลวงปู่ตอบว่า  **แปลเอาเองสิ***

                    หลวงปู่ขาวท่านเคยเล่าเรื่องนี้ ถวายสมเด็จพระญาณสังวร  สมเด็จพระสังฆราชฟัง   พระองค์ก็ไม่แปลให้ท่านฟัง   ท่านอยากให้หลวงปู่แปลให้ฟัง   หลวงปู่ขาว ท่านจึงพูดว่า 

    ***** ผมไม่ได้เป็นมหาเปรียญ  ไม่ได้เรียนบาลีมา  จะแปลได้อย่างไร***

    สมเด็จพระสังฆราชตอบว่า  *** ผมเรียนทางนอก  เรียนทางตำรา   ส่วนหลวงปู่นั้น     เรียนทางในพระไตรปิฎก***

    หลวงปู่ขาว  ท่านจึงยอมแปลให้ฟังว่า  **** "พูดตามที่เป็นมา  ไม่ใช่ตำราอะไรนะ  อะหัง ก็แปลว่า เรา ชาติใหม่ของเรา  ไม่มีอีกแล้ว   มีชาติเดียวเท่านี้"

    แล้วหลวงปู่ขาว  ท่านก็ยิ้มระรื่น  ตามนิสัยอารมณดีของท่าน   แล้วถามสมเด็จพระสังฆราชว่า  *** ผมแปลแบบบาลีโคกนะ   แบบนี้ถูกไหม ***

    สมเด็จพระสังฆราชตอบว่า  *** ถูกแล้ว หลวงปู่แปลได้ถูกต้องแล้ว ****

                คงเป็นดังความหมายของบทเพลงนั้น เพราะชาติภพของหลวงปู่ขาว จะไม่มีอีกแล้ว นับจากชาตินี้ไป เพราะหลวงปู่ขาวนั้น    ท่านหมดสิ้นกิเลสทั้งปวงแล้ว           

              เรื่องพญานาค หรือเรื่องของเหล่ากายทิพย์  หรือชาวบังบดลับแล   เทวดา  รวมไปถึงภูตผี วิญญาณนี้   สำหรับพระอริยสงฆ์  ที่ท่านได้ฌาณสมาบัติขั้นสูงแล้วนั้น   นับว่าเป็นเรื่องธรรมดา  ที่ท่านจะรู้เห็นในสิ่งเหล่านี้ได้     โดยเฉพาะพระสงฆ์ที่มีศีลบริสุทธิ์   เป็นพระอริยบุคคล    เช่น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่ขาว หลวงปู่ฝั้น เป็นต้น บรรดาเหล่ากายทิพย์   ไม่ว่าจะเป็น เทวดา หรือพญานาค  มักจะมาฟังธรรมกับท่านอยู่เสมอ    เช่นหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต  ท่านก็พูดถึงเหล่ากายทิพย์   โดยเฉพาะพวกเทวดา   เมื่อท่านไปพักภาวนาในป่าเขา    พวกเทวดา ก็มักจะมาขอฟังธรรมกับท่านไม่ได้ขาด   

                 แต่สำหรับบุคคลธรรมดาทั่วไปแล้ว   จะมองว่า เรื่องเหล่านี้ เป็นเรื่องที่ยากจะพิสูจน์ได้   จึงทำให้บางคนก็เชื่อว่า  สิ่งเหล่านี้มีจริง    และบางคนก็ว่า   สิ่งเหล่านี้ไม่มีจริง  ที่หลวงปู่ท่านหยิบยกเอาเรื่องเหล่านี้มาเล่าให้ลูกศิษย์ลูกหาฟังนั้น    ไม่ใช่เป็นการโอ้อวดอันใด    เมื่อท่านพิจารณาเห็นแล้วว่า  เรื่องไหนมีประโยชน์  แก่ลูกศิษย์   และพุทธศาสนิกชน    ท่านก็จะหยิบยกขึ้นมาเล่า   เพื่อเป็นคติธรรม  เป็นอุบายธรรม ในการประพฤติปฏิบัติของลูกศิษย์ลูกหาต่อไปครับ...   

                       

     

                  

     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×